วันศุกร์ที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2552

9 วิธีแต่งห้องเล็กให้กิ๊บเก๋



ลองหันซ้าย หันขวา ดูห้องของเราสิคะ ถ้าห้องของใครมีข้าวของกระจัดกระจาย ดูไม่เป็นระเบียบเรียบร้อยเอาเสียเลย ถึงเวลาที่เราจะต้องมาปฏิวัติห้อง (เล็กๆ) ของเรากันได้แล้วล่ะค่ะ และ 9 วิธีที่จะแต่งห้องให้สวยงามนั้นก็ไม่ยากเลย ไปดูกันดีกว่าว่ามีวิธีไหนบ้าง

โปร่ง โล่ง สบาย

จะแต่งห้องให้สวยงาม ต้องเคลียร์ห้องของเราก่อนค่ะ อะไรที่เกะกะ รกรุงรัง จัดการเสียให้เรียบร้อย เพื่อความโล่ง และสะอาดตา แนะนำว่าของเล็ก ของน้อย ต่างๆ เก็บลงกล่อง แบ่งประเภทเป็นหมวดๆ ไปก่อน ให้เหลือแค่เฟอร์นิเจอร์ชิ้นใหญ่ๆ ไม่กี่ชิ้น จากกันก็ทำความสะอาดปัดฝุ่น นำของที่โกยลงกล่องมาจัดเรียงใหม่ซะ ถึงตอนนั้นเราจะรู้เองเลยล่ะค่ะว่าของชิ้นไหนจำเป็น หรือของชิ้นไหนควรจะทิ้งลงขยะไปเหมือนเดิม ตู้บิลด์อิน

สำหรับห้องเล็กๆ แล้วล่ะก็ ตู้บิลด์อิน จะช่วยให้คุณประหยัดพื้นทื่ไปได้เยอะเลย เพราะสามารถเลื่อนเปิดปิดเก็บของได้สารพัด ทั้งของสะสม อุปกรณ์กีฬา นอกจากนั้นยังทำให้ห้องดูกว้างขึ้นด้วยล่ะค่ะ

ตู้จดหมายสีหวาน

ใครแอบมีอารมณ์โรแมนติก ลองหยิบตู้จดหมายเก่าๆ มาพ่นสีพาสเทลหวานๆ ดูสิค่ะ บวกกับจินตนาการอีกนิด รับรองว่าเห็นแล้วต้องนั่งอมยิ้มทั้งวัน

ของตกแต่งรูปสัตว์

เป็นของตกแต่งที่เชื่อว่าหลายๆ บ้านน่าจะมีประดับอยู่ ทั้งรูปแมว สุนัข ไก่ กบ ฯลฯ ในอิริยาบถต่างๆ จะวางไว้ที่ชั้นวางหนังสือ ชั้นวางของ ก็เก๋ไก๋ไม่หยอก

หนังสือแต่งบ้าน

แม้จะไม่ชอบอ่านหนังสือมากนัก แต่รู้ไหมว่า ถ้าบ้านใครมีหนังสือประดับตกแต่งในบ้าน ก็สามารถช่วยทำให้คุณดูดีได้ในสายตาผู้มาเยือนเชียวนะ เพราะเขาจะมองว่าคุณดูมีความรู้ไม่น้อยเลยทีเดียว (แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับว่าเป็นหนังสือประเภทใด ด้วยเช่นกัน)

เฟอร์นิเจอร์อเนกประสงค์

เฟอร์นิเจอร์ประเภทที่แปลงร่าง หรือพูดง่ายๆ คือใช้ประโยชน์ได้หลายๆ อย่าง เช่น โซฟาที่เป็นเตียงนอน เก้าอี้ที่มีช่องเก็บของในตัว สิ่งเหล่านี้แหละค่ะที่จะทำให้คุณดูดีมีสไตล์ แถมยังช่วยเพิ่มพื้นที่เก็บของให้ห้องของคุณด้วย

บ้านนก

ใครที่มีใจรักธรรมชาติ จะลองหาบ้านนก หลังเล็กๆ สวยๆ มาประดับไว้ก็เข้าท่านะคะ เพราะนกเป็นสิ่งที่บ่งบอกถึงความสมบูรณ์ของป่าและธรรมชาติ ถ้ามีนกมาอยู่ที่บ้านก็ทำให้บ้านดูใกล้ชิดธรรมชาติมากขึ้น แถมยังเพลิดเพลินกับเสียงของมันด้วยล่ะ

ภาพถ่ายเล่าเรื่อง

เชื่อว่าเวลาคุณไปเที่ยวที่ไหน จะต้องพกกล้องไปเก็บภาพความประทับใจไว้บ้างล่ะ ลองนำภาพพวกนี้ไปติดประดับไว้ตามที่ต่างๆ ของบ้าน ไล่เป็นเรื่องราวสำคัญๆตั้งแต่เด็กถึงปัจจุบัน ใครมีภาพความประทับใจ วีรกรรมเด็ดๆ อะไร ก็งัดออกมาโชว์ให้เต็มที่ จะทำให้ผู้มาเยี่ยมเยียนรู้จักตัวตนของคุณมากขึ้นล่ะค่ะ

แต่งบ้านสไตล์ญี่ปุ่น

เหมาะสำหรับบ้านเล็กๆ ที่สุดเลยล่ะค่ะ เพราะการแต่งบ้านสไตล์จีน หรือญี่ปุ่น เขาจะเน้นการใช้พื้นที่ใช้สอยให้เป็นประโยชน์มากที่สุด ส่วนแบบไทยอาจจะหาซื้อของตกแต่งยากนิดหนึ่ง ก็ลองเปลี่ยนแนวมาตกแต่งสไตล์ญี่ปุ่นดูได้ แนะนำให้ลองเข้าร้าน 60 บาทดู จะเห็นว่ามีของเล็กๆ น้อยๆ ที่ดูเก๋อยู่มากเลยค่ะ และยังเคลื่อนย้ายได้ง่ายด้วย

อ่านแล้ว ใครชอบสไตล์ไหน หรือพร้อมจะปฏิวัติห้องของคุณแล้ว ก็เลือกใช้กันได้ตามสะดวกเลยค่ะ

วันศุกร์ที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2552

9 วิธีทำดีได้บุญ แบบไม่เสียเงิน



1.ตื่นเช้าขึ้นมาก็คิดแต่สิ่งดีๆ ทันทีที่ตื่นนอน

หากเราคิดถึงแต่สิ่งที่ดีที่งาม ก็จะทำให้จิตใจเราสดชื่นกระตือรือร้นพร้อมที่จะรับมือกับชีวิตประจำวันด้วยความรื่นเริง ไม่หงุดหงิด โมโห เพียงแค่นี้ นอกจากเราจะมีความสุขแล้ว คนรอบข้างเราก็มีความสุขไปด้วย ถือว่าเป็นการทำบุญอย่างหนึ่ง

2.ยิ้มแย้มแจ่มใส ในแต่ละวัน

หากเราจะรู้จักยิ้มแย้มแจ่มใส ไม่ว่าจะยิ้มกับคนรู้จักหรือไม่รู้จักก็ตามหน้าตาของเราก็จะดูเป็นมิตร ทำให้คนอยากเข้าใกล้ ถ้าเราเป็นพ่อแม่ยิ้มกับลูกก่อนไปทำงาน ลูกก็ดีใจ ลูกยิ้มกับพ่อแม่ ๆก็สบายใจว่าต่างคนต่างไม่มีเรื่องเดือนร้อนใจแน่ หรือหากมีก็กล้าจะมาปรึกษาหารือ หรือหากเป็นเจ้านายยิ้มกับลูกน้องๆ ก็รู้ว่าวันนี้นายอารมณ์ดี ทำให้ทำงานด้วยความมั่นใจไม่ต้องระแวงว่าจะถูกเรียกไปต่อว่า และถ้าเรียกก็ดูน่าจะมีเมตตากว่าเวลาที่นายทำหน้ายักษ์

3.ทักทาย โอภาปราศรัย

คนบางคน นอกจากจะไม่ยิ้มกับใครแล้ว ยังชอบทำหน้าบึ้งตึงไม่คิดจะพูดจาทักทายใครด้วยซึ่งถ้าเกิดทำงานด้านบริการคนมาติดต่อคงรู้สึกเกร็งและกังวลตลอดว่าจะถูกเอ็ดตะโรเมื่อไรก็ไม่รู้ดังนั้น นอกจากยิ้มแย้มแจ่มใสแล้ว เราก็ควรจะเอื้อนเอ่ยวาจาทักทายผู้มารับบริการก่อนการทักทายปราศรัยกับผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นผู้มาขอรับบริการเพื่อนฝูงคนรู้จัก ผู้อยู่ใต้บังคับบัญชาหรือแม้แต่คนที่มาทำงานให้เรา เช่น แม่บ้าน ยาม ฯลฯ จะทำให้เขารู้สึกเป็นมิตร และอบอุ่นใจ ทำให้บรรยากาศในที่นั้นๆ ดีขึ้น

4.แบ่งปันน้ำใจไมตรี สามารถทำได้ทุกที่และทุกเวลา เช่น

ช่วยพ่อแม่จัดโต๊ะอาหาร ล้างถ้วยชาม ลุกให้เด็กผู้หญิงท้อง หรือคนแก่นั่ง ช่วยถือของหนักให้คนในรถเมล์หยุดรถให้คนข้ามถนนหรือรถอื่นไปก่อนช่วยแบ่งเบาภาระงานให้เพื่อนในที่ทำงาน เป็นต้น การให้ความช่วยเหลือเช่นนี้ เป็นการทำบุญด้วยการลดความเห็นแก่ตัวของเราลง และทำให้เราได้รับมิตรไมตรีสนองตอบกลับมาด้วย

5.ปลุกปลอบให้กำลังใจช่วยแก้ไขปัญหา

หลายๆ ครั้งที่เพื่อนฝูงญาติมิตรอาจประสบปัญหาชีวิตและเกิดความทุกข์ใจแสนสาหัสสิ่งที่ดีที่สุดคือความเป็นมิตรและถ้อยคำที่ปลุกปลอบให้กำลังใจคำพูดดีๆ ที่มาจากใจจะทำให้ผู้ที่ตกอยู่ในห้วงทุกข์รู้สึกดีขึ้นและมีพลังที่ต่อสู้ชีวิตต่อไปได้

6.ให้คำชมด้วยความนิยมยินดี

การกล่าวคำชื่นชมต่อผู้อื่นไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆย่อมจะทำให้ผู้รับคำชมรู้สึกปลาบปลื้มยินดีและมีความสุขได้ โดยเฉพาะในเรื่องที่เขาทำสำเร็จแต่ทั้งนี้ต้องอยู่บนพื้นฐานของความเป็นจริงและจริงใจด้วยดูอย่างตัวเราเองแค่วันไหน แต่งตัวสวย แล้วมีคนชม เราก็หน้าบานไปทั้งวันแล้ว เช่นเดียวกันคนทุกคนล้วนอยากได้การยอมรับและคำชมทั้งนั้นเพราะคำชมจะเป็นการเสริมเพิ่มกำลังใจให้อยากทำดียิ่งๆ ขึ้นไป

7.แนะนำให้คำสอนที่ดี มีคุณค่า

ไม่ว่าเราจะอยู่ในสถานภาพใด เช่น เป็นลูก เป็นพ่อแม่ ลูกน้อง เจ้านาย เพื่อนร่วมงาน เพื่อนร่วมอาชีพ ฯลฯ หากเราจะมีเมตตาแนะนำในสิ่งที่ดีมีประโยชน์และคุณค่าต่อผู้อื่น หรือสอนในสิ่งที่เราชำนาญให้แก่ผู้อื่น ก็จะเป็นการช่วยเกื้อกูลสังคมให้ดียิ่งขึ้น และผลก็จะย้อนมาสู่ตัวเราผู้ทำด้วย เช่น สอนงานให้ลูกน้อง ต่อไปเมื่อเขาทำงานเป็นเราก็ไม่ต้องเหนื่อยมากและเขาก็จะรู้สึกขอบคุณเรา แนะวิธีออกกำลังกายให้พ่อแม่ท่านก็แข็งแรง ไม่เจ็บไข้ได้ป่วยง่าย เราก็สบายใจ หรือแม้แต่การแนะนำให้ความรู้ที่เรามีหรือทราบมาแก่คนไม่รู้จักอย่างแนะนำหมอ ยาดีๆ หรือธรรมะที่ดีแก่คนอื่นทำให้เขาหายป่วยหรือรู้สึกดีขึ้นเขาก็จะอธิษฐานหรือให้พรเรา ทำให้เราพบแต่สิ่งดีๆ ในชีวิต

8.การให้อภัยในความผิดพลาดของผู้อื่น

โดยทั่วไปคนเรามักจะให้อภัยตัวเองง่ายและมีข้อแก้ตัวให้ตนต่างๆนานา แต่ถ้าผู้อื่นผิดพลาดแล้วเรามักเห็นเป็นเรื่องใหญ่และตำหนิติเตียนไม่รู้จักแล้วจบ ดังนั้น เราจะต้องหัดมีเมตตารู้จักให้อภัยต่อผู้อื่นให้ง่ายเหมือนให้อภัยแก่ตัวเราเองเพราะการให้อภัย จะทำให้เราไม่ผูกใจเจ็บ ไม่อาฆาตมาดร้ายไม่ก่อศัตรู แต่ทำให้จิตใจเราสงบเย็นเป็นฝึกจิตพื้นฐานอย่างหนึ่งที่จะนำไปสู่กุศลขั้นสูงอื่นๆ ต่อไป9.ฝึกจิตให้สงบและสบาย ด้วยการทำสมาธิหรือสวดมนต์ การทำสมาธิ ฟังดูเหมือนยาก แต่จริงๆ เราทำได้ตลอดเวลาไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนหรือทำอะไรอยู่ เช่น กินข้าว อาบน้ำ ทำการบ้าน ทำงานบ้าน อ่านหนังสือ อยู่ที่ทำงาน หัวใจหลักคือ ให้เอาใจไปจดจ่อในสิ่งที่ทำเพียงอย่างเดียวจะทำให้เราทำทุกอย่างได้ดีขึ้น เพราะไม่พะวักพะวนคิดหรือทำหลายอย่างในเวลาเดียวกัน อันทำให้ขาดสติ และทุกๆ คืนก่อนนอน ก็ควรสวดมนต์ไหว้พระที่เรานับถือโดยอาจเลือกบทสวดสั้นๆ ที่เราชอบ เสร็จแล้วก็อย่าลืมแผ่เมตตาให้กับตัวเราเองและผู้อื่นตามสมควร